ใครที่ชอบรายการที่ดูแล้วทั้งขำ ทั้งอบอุ่นหัวใจ มีสาระเกี่ยวกับการเกษตรจริงๆ



ถ้าใครกำลังมองหาซีรีส์เรียลลิตี้สุดฮา ปนสาระเรื่องการทำฟาร์มแบบไม่มีกรอง ต้องไม่พลาด Clarksons Farm Season 4 ชีวิตชาวไร่ของคลาร์กสัน เพราะซีซั่นนี้ เจเรมี คลาร์กสัน กลับมาพร้อมกับภารกิจสุดบ้าบิ่นกว่าเดิม นั่นคือการซื้อผับเพื่อปัดฝุ่นความฝัน Farm to Fork หรือแนวคิด จากฟาร์มถึงจาน ที่เขาฝังใจไว้ตั้งแต่ซีซั่นก่อนๆ และครั้งนี้ไม่ใช่แค่การปลูกข้าวหรือเลี้ยงวัวเท่านั้น แต่เป็นการทำให้ฟาร์มเล็กๆ ที่ชื่อ Diddly Squat กลายเป็นธุรกิจครบวงจร ทั้งร้านอาหาร สินค้าท้องถิ่น และการเป็นเจ้าของที่ดินอย่างแท้จริง แม้แนวคิดจะฟังดูเท่ แต่บอกเลยว่าเส้นทางไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง การจะเปิดร้านอะไรสักอย่างในอังกฤษนั้นไม่ได้แค่ยื่นเอกสารแล้วจบ มีกฎระเบียบมากมาย ไหนจะเสียงต่อต้านจากชาวบ้าน และกระบวนการราชการที่พร้อมจะทำให้ความฝันของคลาร์กสันพังไม่เป็นท่า ยิ่งพอเขาเริ่มติดต่อซื้อผับเก่าเพื่อพลิกโฉมให้กลายเป็นร้านอาหารฟาร์มแท้ๆ กลับมีอุปสรรคตั้งแต่เรื่องใบอนุญาต ไปจนถึงการปรับปรุงสถานที่ ที่กินงบมากกว่าที่เขาคิดไว้หลายเท่า คลาร์กสันไม่ได้เผชิญปัญหาแค่เรื่องผับเท่านั้น ซีซั่นนี้เขายังต้องรับมือกับ ของใหม่ มากมายในฟาร์ม ทั้งสัตว์เลี้ยงใหม่อย่างหมูที่น่าจะน่ารัก ถ้าไม่นับว่าเจ้าพวกนี้ดื้อไม่แพ้วัวตัวเก่า คนงานหน้าใหม่ที่ยิ่งทำให้ชีวิตวุ่นวายเข้าไปใหญ่ และเครื่องจักรกลการเกษตรแบบใหม่ที่คลาร์กสันคิดว่าจะช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น แต่สุดท้ายกลายเป็นตัวเพิ่มปัญหาจนเขาแทบจะโยนมันทิ้ง เสน่ห์ของ Clarkson’s Farm ไม่ได้อยู่ที่ความรู้การเกษตรเพียงอย่างเดียว แต่คือการที่เราจะได้เห็นอดีตพิธีกรสายรถหรูอย่างคลาร์กสัน มายืนปลูกมันฝรั่งกลางฝน หรือทะเลาะกับวัวตัวหนึ่งที่ไม่ยอมเข้าคอก เสน่ห์แบบตรงไปตรงมาและความตลกที่เกิดจากความไม่รู้จริงของเขาทำให้ทุกฉากดูสนุก โดยเฉพาะเมื่อเขาพยายามจะเป็น เจ้าของฟาร์มที่ดี แต่สิ่งที่เขาทำกลับสร้างความวุ่นวายมากกว่าช่วยให้ดีขึ้น นอกจากความตลก ซีซั่นนี้ยังมีโมเมนต์อบอุ่นที่แฟนๆ รอคอย เพราะเราได้เห็นความสัมพันธ์ของคลาร์กสันกับทีมงานเก่า ไม่ว่าจะเป็นชายหนุ่มสายขี้อายแต่รักการทำฟาร์มสุดหัวใจ กับช่างเทคนิคสายเย็นชาที่แอบแฝงความใส่ใจในทุกคำปรึกษา รวมถึงบทสนทนาที่ฟังเหมือนเล่นมุก แต่แฝงไว้ด้วยความห่วงใยและการสนับสนุนแบบพี่น้อง อีกไฮไลต์ที่คนดูรอคอยคือความสัมพันธ์ของคลาร์กสันกับชุมชน เพราะแม้จะมีปัญหากันมาตลอด แต่ลึกๆ แล้วเขาก็รักหมู่บ้านแห่งนี้ และพยายามจะทำให้ฟาร์มของเขาเป็นประโยชน์กับคนในพื้นที่ ซึ่งซีซั่นนี้มีฉากหลายช่วงที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการคืนกำไรสู่ชุมชน ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงานท้องถิ่น การเปิดร้านค้าชุมชน หรือแม้แต่การตั้งราคาผลิตภัณฑ์ให้ไม่สูงเกินไป เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงได้ ในแง่ภาพ ซีรีส์ยังคงถ่ายทำออกมาอย่างสวยงาม ไม่ว่าฤดูร้อนที่แสงแดดส่องผ่านทุ่งหญ้า หรือฤดูหนาวที่ฟาร์มถูกปกคลุมด้วยหิมะ ทุกฉากให้ความรู้สึกอบอุ่นและสมจริง เป็นบรรยากาศชนบทอังกฤษแท้ๆ ที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้หลุดไปอยู่ในโลกของคลาร์กสันชั่วคราว Clarkson’s Farm Season 4 ไม่ได้เป็นแค่ซีรีส์ทำฟาร์ม แต่เป็นภาพสะท้อนของชีวิตคนที่เคยมีทุกอย่าง แล้วเลือกจะกลับไปใช้ชีวิตเรียบง่าย ท่ามกลางธรรมชาติและดินโคลน แม้จะพลาดบ้าง ล้มเหลวบ้าง แต่เขายังลุกขึ้นมาเรียนรู้จากความผิดพลาด และนั่นคือเหตุผลที่ผู้ชมยังคงหลงรักซีรีส์เรื่องนี้